14 January 2010

ชิโร่..หมาคอนโด




มาชิสุ (Shih-Tzu) ในสายตาคนทั่วไป คือ สุนัขตัวเล็กๆหน้าตาน่าเอ็นดู ตาบ้องแบ๊วขนฟูยาวสลวยที่ได้รับการจัดแต่งทรงขนเป็นอย่างดี มัด1จุกบ้าง2จุกบ้าง ลักษณะเหมือนตุ๊กตาหมา มักมีนิสัยเชิดหยิ่งไฮโซเหมือนคุณนาย(ทั้งตัวผู้ตัวเมีย) จับไปวางตรงไหนก็จะนั่งอยู่ตรงนั้น บางตัวจะมีซุกซนบ้างแต่ส่วนใหญ่จะอยู่เฉย นั่งๆนอนๆ คาดว่านิสัยเย่อหยิ่งจองหองนี้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของมัน สมัยอยู่กับพระนางซูสีไทเฮาเมื่อหลายพันปีก่อนนู๊น...แต่ที่กล่าวมานั้น ไม่ใช่เลยสำหรับหมาชิสุที่มีนามว่า ชิโร่

ด้วยขนาดที่อ้วนปั้กหนักถึง10กิโล ซึ่งมากชิสุทั่วไปสองเท่า แต่ตัดขนสั้นจุ๊ดจู๋แบบสกินเฮด โกนจุก โกนเท้า ตัดผมบ็อบและหน้าตาที่ยียวนกวนประสาทเหล่าbreeder เป็นที่สุด ใครที่พบเห็นต่างก็อุทานว่า "มันเป็นพันธ์อะไรกันละนั่น" "ต๊าย..หมาทำผมบ๊อบ" "โถ หมาเกรียน น่าสงสารตาแป๋วเชียว" "นี่พันธ์อะไรคะปักกิ่งผสมหมาจูหรือเปล่า" "ชิสุหรือชิฉุกันแน่ เอ๊..สงสัยเป็นชิสุ-กร ฮะๆ" ฯลฯ ซึ่งทำความเจ็บช้ำน้ำใจให้เจ้าของซึ่งคือผมเองอย่างยิ่งยวด

การที่เจ้าโร่เป็นแบบนี้ไม่ได้เกิดจากการกลั่นแกล้งของผมเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยพยาธิสภาพของการอยู่อาศัยทำให้ชิโร่ต้องถูกปรับจูนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เป็นตึกสูงกลางเมือง.. ใช่แล้วครับ ผมอยู่คอนโดมิเนียมชั้น30 ที่เป็นที่เกิดเรื่องราวและวีรกรรมสุดแสบของเจ้าหมาอ้วน 'ชิโร่' หมาคอนโดตัวนี้



มได้เจ้าชิโร่มาด้วยความบังเอิญโดยแท้ เมื่อ8ปีก่อน ชิโร่วัย2เดือน ถูกเจ้าของเก่าของมันเอามาฝากไว้ที่คอนโดผมเพื่อรอการส่งมอบให้เพื่อนอีกคนนึง แต่ด้วยเหตุผลทางด้านเทคนิคบางประการ เพื่อนที่แสดงความจำนงรับหมาเกิดเปลี่ยนใจไม่เอา แต่เมื่อผมจะส่งหมาคืน เจ้าของเดิมดันไม่แสดงความจำนงรับกลับ (อ้าว)

"เนี่ย..แม่นังหนอมเค้าไม่ให้หนอมเลี้ยงหมาอ่ะ เต้ยมาเอาคืนไปเหอะนะ" ผมบอกน้องเต้ย เจ้าของเดิมชิโร่

"หมาตัวนี้ไม่ใช่หมาเต้ยหรอก ของพี่ชายเต้ยอ่ะ เต้ยไปขอเค้ามาให้แล้วไม่เอาได้ไง เค้าตัดใจแล้วนะ ตอนยกให้อ่ะเค้าทำใจอยู่ตั้งสองวัน มาเอาคืนไปแบบนี้เค้าเสียความรู้สึกง่ะ เนี่ยตัวสุดท้ายในครอกแล้ว ให้แล้วให้เลยไม่รับคืน" เจ้าเต้ยแถลงหน้าตาเฉย

"อ้าวเฮ้ย แบบนี้ก็สวยเด่ะ อีหนอมก็ไม่เอา พี่ชายแกก็ไม่เอา แล้วใครจะเลี้ยงเจ้านี่ล่ะ"

"พี่ก็รับเลี้ยงเองไปเลยจิ เพิ่งย้ายมาอยู่คอนโดไม่ใช่เหรอ จะได้เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา อยู่กะพี่ต๋อมสองคนเบื่อตายชัก เนี่ยรับไว้เหอะ หมาดี มีเพ็ดดีกรีด้วยแต่หาไม่เจอ พี่เอาไปเลี้ยงก่อนละกันนะ"

มีงี้ด้วยวุ้ย คอนโดส่วนมากเขาไม่ให้เลี้ยงหมาอ่ะใครๆก็รู้ แล้วทีนี้จะทำไงดี

"งั้นพี่จะลองแอบเลี้ยงไปก่อนนะ ซักสองสามวันคงไม่เป็นไร ไว้เผื่อแม่อีหนอมเปลี่ยนใจ หรือถ้าไม่ได้ก็หาคนมารับช่วงต่อไปละกัน"

ผมตอบไปโดยไม่คิดเลยว่า หลังจากนั้น จากสองสามวัน ก็กลายเป็นสองสามสัปดาห์

แล้วก็กลายเป็นสองสามเดือน...

แล้วก็กลายเป็น..สองสามปี...

ในที่สุด แม่อีหนอมก็เปลี่ยนใจยอมให้เลี้ยงหมาจริงๆแหละครับ แต่เธอไม่ได้กลับมารับชิโร่ แต่ไปเอาเวสตี้น่ารักมีใบเพ็ดดีกรีของจริงมาเลี้ยงแทน ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะได้ตกหลุมรักเจ้าชิโร่ไปเรียบร้อยแล้ว อันที่จริงผมตกร่องปล่องชิ้นกับมันตั้งแต่สองอาทิตย์แรกด้วยซ้ำ อิอิ

เวลาผ่านไป 8 ปี ถึงวันนี้ผมก็ยังเลี้ยง..และคง(ต้อง)เลี้ยงชิโร่ไปเรื่อยๆ.. T_T

ก็มันน่ารักนี่ครับ ดูสิครับหน้าทะเล้นขนาดนี้ไม่ให้หลงรักยังไงไหว ^^'


.................................................

ารเลี้ยงสุนัขยุ่งยากกว่าการเลี้ยงปลา ผมซึ่งชีวิตนี้เคยเลี้ยงหมาครั้งสุดท้ายเมื่อตอนเด็กๆ พอมาเลี้ยงอีกครั้งเมื่อวัยรุ่นตอนปลายแบบนี้ก็เหมือนเริ่มต้นใหม่หมด ยิ่งต้องหลบซ่อนเลี้ยงในคอนโดแบบนี้ยิ่งวุ่นวาย ตอนเป็นหมาตัวเล็กๆก็พอถูไถไปได้อยู่ เริ่มด้วยการฝึกให้อึฉี่เป็นที่เป็นทาง โดยผมยกระเบียงด้านนึงไว้เป็นพื้นที่ขับถ่ายของชิโร่ ด้วยความฉลาดของเจ้าหมา หัดอยู่ไม่กี่วันชิโร่ก็รู้ว่าตรงไหนคือส้วมตรงไหนคือบ้าน ผมเลือกซื้ออาหารเม็ดเฉพาะที่โฆษณาว่ากินแล้วอึจะสวยงามกลิ่นชวนดมเก็บง่าย ส่วนจะขนสวยสุขภาพดียังไงไว้ที่หลัง เอาอึหอมไว้ก่อน

แต่พอชิโร่เริ่มโตขึ้น วินาศภัยเริ่มเข้ามาเยี่ยมเยียนเคหสถานของผมตามขนาดตัวหมา ด้วยพลังฉี่และพลังกัดแทะข่มขูดของมัน แม้ชิโร่จะฉี่เมื่อมันปวดก็จริง แต่มันจะมีก๊อกสำรอง เอาไว้มาร์กจุดต่างๆ ตามนิสัยหมาตัวผู้ ยิ่งถ้ามันไม่ได้ดั่งใจหรือผมไม่อยู่บ้านแล้วไม่พามันออกไปด้วย มันจะแกล้งปล่อยฉี่ชนิดเต็มรูปแบบใส่เฟอร์นิเจอร์ทันที ไม่ว่าจะเป็นขาโต๊ะ มุมห้อง บนโซฟา หรือบนเตียงนอนซึ่งมันปีนขึ้นได้อย่างสบาย แม้แต่บนโต๊ะกินข้าวมันก็ขึ้นไปฉี่มาแล้ว จำนวนจุดฉี่จะผันแปรตามเวลาที่ปล่อยมันทิ้งไว้บ้าน ถ้าไปแป๊บเดียวก็1จุด ถ้าเป็นชั่วโมงก็สองสามจุด ถ้าปล่อยไว้ทั้งวันก็เต็มบ้านละครับยิ่งกว่าตลาดหุ้นอีก สมญานามอีกอย่างของมันคือ 'ชิโร่ฉี่ร้อยจุด'

ตลอดเวลาที่เลี้ยงมา ชิโร่ถล่มโซฟาของผมพังไปสามชุด พื้นปาเก้เยินจนต้องเปลี่ยนเป็นพื้นกระเบื้อง กัดข้าวของที่วางเกะกะสายตาของคุณท่าน และขูดประตูทุกบานในห้องจนกลายเป็นงานศิลปะไม้เก่า

แต่ที่ทำความยุ่งยากในการเลี้ยงที่สุดคือการเห่า

หมาพูดไม่ได้แต่เห่าได้ ดังนั้นเมื่อมันต้องการอะไรมันก็เห่า
มีงานวิจัยว่าสุนัขมีความฉลาดเท่าเด็ก5ขวบ ซึ่งผมก็ว่าจริง หรือเผลอๆจะมากกว่าอีก เวลาชิโร่อยากได้อะไรมันจะเห่าแถมพยักเพยิดไปทางนั้น เช่น มันไปยืนเห่าหน้าตู้ แล้วมองหน้าผม แล้วมองตู้ แล้วเห่า สลับไปมา แปลว่ามันอยากได้ขนมในตู้ จงไปหยิบให้หน่อย

ชิโร่มีการเห่าหลายแบบ เห่าสั่ง เห่าอ้อน เห่าข่มขู่ เห่าไล่รปภ.แม่บ้านและเด็กส่งอาหาร หรือแม้แต่เห่าเฉยๆซึ่งคนเลี้ยงจะต้องสังเกตเอาเองว่าท่านจะเอาอะไรจะได้หามาสนองท่าน บางทีผมก็คิดเหมือนกันว่าผมเป็นเจ้านายหรือลูกน้องมันกันแน่ ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบคือ ผมตกเป็นทาสรับใช้หมาไปเรียบร้อยแล้ว หุหุ แต่ความจริงก็คือ ผมกลัวมันส่งเสียงดังน่ะครับ กลัวข้างห้องจะโวย กลัวคนจับได้ว่าแอบเลี้ยงหมา

และสิ่งที่ผมกลัวก็เป็นจริง
..................................


บ่ายวันหนึ่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้อง

"สวัสดีครับ" เสียงทักทายจากยามเฝ้าคอนโด

"มีไรครับ คุณรปภ." ผมทำหน้ามึนใส่ยาม

"คือว่า มีคนแจ้งว่าห้องพี่เลี้ยงสุนัข.." ยามเฝ้าคอนโดแจ้งข้อกล่าวหาที่ผมไม่อยากได้ยิน

"เอ่อ..ยังไงกันครับ มีเหรอครับ หมาที่ไหนกันครับ หัวหน้า" ผมพูดพลางจับหางหมาชิโร่ที่วิ่งออกมาทักทายยามที่เพิ่งถูกผมเลื่อนตำแหน่งให้หมาดๆ

รปภ.หน้าแก่ยิ้มแก้มปริ "แหมๆๆ พี่ แล้วข้างหลังนั่นตัวอะไรล่ะครับสงสัยจะเป็นแมวเนอะ อ้วนฟูเชียว เอางี้ พี่ลงไปคุยกับผู้จัดการตึกดีกว่าครับ ผมมาบอกพี่แค่นี้แหละ พี่ลงไปคุยเองละกัน"

หลังจากรปภ.กลับไป ผมก็มาปรึกษาคุณมามี๊ชิโร่ว่าจะทำยังไงกันดี ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า ลองเจรจากับทางตึกดีกว่าจะหลบๆซ่อนๆต่อไป เพราะขนาดตัวเจ้าโร่ไม่ได้น้อยเลยแถมยังตัวโตขึ้นเรื่อยๆ เวลาเดินเข้าตึกคนต้องเห็น แผนการแอบเอาหมาใส่กระสอบเสื้อใบหยกหรือซ่อนในพุงทำเป็นท้องคงไม่สำเร็จแน่

ผู้จัดการนิติเป็นชายวัยกลางคนท่าทางไม่น่าไว้ใจ หมอมีสมุดเล่มหนาที่เขียนว่า 'ระเบียบการอยู่อาศัยในอาคารชุด' วางไว้ข้างตัว หลังจากกล่าวทักทายพร้อมเชิญให้ผมนั่ง การเจรจาก็เริ่มต้น

"กฏของคอนโดมิเนียมข้อ 13 ระบุว่าห้ามเลี้ยงสัตว์ทุกชนิดในคอนโด" ผู้จัดการประกาศ "ยังไงรบกวนให้ความร่วมมือด้วยครับ"

"เอ ถ้าผมเลี้ยงปลาตู้ แบบนี้จะผิดกฏหรือปล่าวครับ คุณผู้จัดการ" ผมคิดหาทางออกสุดชีวิต

"เลี้ยงปลาก็น่าจะได้ ที่สำนักงานนี่ก็มีตู้ปลาตั้งอยู่ตรงนู๊น" ผู้จัดการชี้มือไปที่ข้างประตูมีตู้กระจกขนาดย่อมมีปลาทองว่ายอยู่สองสามตัว

"อ้าว แบบนี้นิติบุคคลก็ทำผิดเองสิครับ ไหนว่ากฏคอนโดไม่ให้เลี้ยงสัตว์ไง"

ผู้จัดการสะดุ้ง
"เอ่อ..ที่กฏห้ามไว้น่ะหมายถึงสุนัขหรือแมวนะครับ เพราะมันส่งเสียงเห่ารบกวนเพื่อนบ้าน ถ้าคุณเลี้ยงปลาแล้วปลาคุณเห่าเราก็ไม่ให้เลี้ยงเหมือนกัน" ผู้จัดการคำราม

แผนขั้นที่1ไม่ได้ผล ผมเริ่มขั้นต่อไป

"เนี่ย ทำไมคอนโดข้างตึกเราเขาเลี้ยงหมากันได้ละครับ มีทั้งโกลเด้น ลาบาดอร์ ตัวใหญ่ๆ ฝรั่งเดินจูงขึ้นลงตึกเดินเล่นกันเพียบเลย เราน่าจะเอาอย่างเขาบ้างนะ ผมเห็นเมืองนอกตึกใหญ่ๆที่ไหนเขาก็ให้เลี้ยงหมากันทั้งนั้น จริงไหมครับผู้อำนวยการ" ผมอ้างพร้อมเลื่อนยศให้ผู้จัดการ

"นั่นมันเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ไฮโซครับ ค่าเช่าเขาอย่างต่ำๆเดือนละตั้งห้าหมื่น ผมไปถามมาแล้ว ที่โน่นเขาให้เลี้ยงแต่ที่นี่ไม่ได้ แล้วก็ผมเป็นผู้จัดการนิติไม่ใช่ผู้อำนวยการ" ผจก.ปฏิเสธตำแหน่งผอ.ที่ผมมอบให้อย่างไม่มีเยื่อใย

เมื่อแผนขั้น2ไม่เวิร์ก ผมจึงเริ่มไม้ตาย

หลังจากก้มลงไปป้ายหัวหอมที่เตรียมมาเรียบร้อย ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับท่านผอ.
"ผมขอพูดตามตรงเลยละกัน พวกเราไม่ได้อยากทำผิดกฏหรอกครับ คืองี้ ภรรยาผมเขาอยากมีลูกมากแต่มีไม่ได้เพราะเป็นเนื้องอกในรังไข่อ่ะครับ แฟนผมเค้าเสียใจมากจนเป็นโรคซึมเศร้าไปเลย คุณหมอก็เลยแนะนำให้เลี้ยงหมาเป็นลูกแทน ไม่งั้นอาจถึงขั้นเป็นโรคจิตได้ เนี่ยเราสองคนเลยจำเป็นต้องแอบเลี้ยงหมา" ผมอ้างด้วยน้ำตาคลอเบ้า "คนโรคจิตบางทีก็ทำร้ายตัวเอง และทำร้ายผู้อื่น อันตรายนะครับ"

คู่สนทนาของผมเริ่มมีอาการลังเล

ผมกระโดดพรวดข้ามโต๊ะไปเกาะแขนผจก.ด้วยแววตาที่สามารถละลายคนใจหินที่สุดในโลกได้
"ให้ผมเลี้ยงเถอะนะครับ ผมกะแฟนรักหมาตัวนี้มากๆ ม๊ากมาก แล้วน้องหมามันก็รักพวกเรามากๆๆๆเนี่ยถ้าเราต้องพรากจากกันตอนนี้หมามันต้องตรอมใจตายแน่นแน่ ผู้จัดการใจดีคงไม่ปล่อยให้ลูกหมาตาดำๆต้องตายใช่ไม๊ครับนะครับนะครับนึกว่าทำบุญเถอะน้าๆ"

ผู้จัดการสลัดหนีการเกาะกุมของผมและทำหน้าเหนื่อยหน่าย
"เฮ้อ..เล่นกันยังงี้เลยเหรอ" แกบ่นพึมพำ
"เอางี้ละกัน เอาเป็นว่าให้เลี้ยงได้เฉพาะหมาตัวนี้นะครับ ห้ามเอามาเลี้ยงเพิ่ม แล้วก็ต้องทำตามข้อตกลงของที่นี่ด้วย นี่นับว่าโชคดีนะที่ในกฏข้อ 49 ระบุไว้ว่า การอลุ้มอล่วยกฏข้อบังคับให้เป็นอำนาจของผู้จัดการนิติจะพิจารณาตามสมควร"

"เย้ๆๆ ท่านประธานใจดีจังครับ ขอบคุณมากๆๆๆ" ผมกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ

ข้อตกลงระหว่างผมกับสำนักงานนิติฯคือ
1. ให้เลี้ยงหมาอยู่ในห้องเท่านั้น ห้ามปล่อยออกมาที่โถงทางเดินหน้าลิฟท์เด็ดขาด
2. ห้ามพาหมาเดินเพ่นพ่านในพื้นที่ส่วนกลางอันได้แก่ โถงล๊อบบี้ สระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนสและสวนหย่อม
3. ถ้าจะพาหมาลงมาเดินเล่นข้างนอก ให้ใช้ลิฟท์ขนของในการขึ้นลง และต้องอุ้มไว้ตลอด
4. ห้ามมิให้หมาส่งเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน ถ้าโดนร้องเรียนจะต้องเอาหมาออกไปทันที
5. ได้รับการยอมให้เลี้ยงเป็นกรณีเฉพาะเท่านั้น ห้ามเลี้ยงเพิ่มแม้แต่ตัวเดียว

ในที่สุด ชิโร่ก็ได้รับอนุญาตให้อยู่ในคอนโดได้ด้วยประการฉะนี้



...................................

อนโดมิเนียมผมแม้จะมี 2 ห้องนอน และมีห้องนั่งเล่น แต่นั่นสำหรับนั่งเล่น ไม่ใช่ไว้วิ่งเล่น
ผมจึงต้องพาชิโร่ลงไปเดินออกกำลังตามถนนตรอกซอกซอยใกล้บ้าน บางทีก็เดินเลี้ยวเข้าไปในมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งที่นี่เขายอมให้หมาเข้าได้ มีเพื่อนหมาๆเดินกันอยู่หลายตัว เจ้าของหมาต่างก็ช่วยดูแลสถานที่โดยมีถุงเก็บอึกันทุกคน

สมัยที่ชิโร่ยังขนยาวอยู่นั้น เมื่อกลับจากวิ่งเล่นข้างนอกบ้าน กว่าจะทำความสะอาดเสร็จต้องใช้เวลามาก เพราะไม่ใช่แค่ล้างเท้าอย่างเดียว ยังต้องล้างขา ล้างหนวด ล้างพุง ล้างก้น อันที่จริงเกือบจะเป็นการอาบน้ำแล้วแหละเพราะเหลือบริเวณหลังเท่านั้นที่ไม่เปียก แถมยังต้องเป่าขนอีกเป็นชั่วโมง ไม่ล้างก็ไม่ได้เพราะถ้ามันเอาก้นเปื้อนอึบุกขึ้นเตียง คราวนี้ต้องซักทั้งเซ็ทผ้าปูที่นอน และซักหมาด้วย กลายเป็นซวย 2 เด้งไป

พระท่านว่า จะดับทุกข์ ต้องตัดต้นเหตุแห่งทุกข์

ด้วยเหตุนี้ผมจึงทดลองเอาเจ้าชิโร่ไปตัดขนให้สั้นลง เพื่อหวังว่าการลดปริมาณทุกข์ย่อมทำให้ช่วงเวลาแห่งทุกข์สั้นลงด้วย ผมจะได้มีเวลาไปทำมาหากินให้มีความสุขบ้าง เพื่อจะได้เงินมาปรนนิบัติเจ้าหมาอ้วนให้เป็นสุขเป็นสุข(เถิด)

แต่การตัดขนหมาแสบตัวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อผมฝากชิโร่ไว้ที่ร้านตัดขนหมา แทบทุกครั้งผมจะได้รับโทรศัพท์ตามตัวให้มารับหมากลับก่อนกำหนดเนื่องจากมันงับมือช่างจนตัดไม่ได้ บางร้านแค่อาบน้ำยังไม่สำเร็จ ผมต้องขับรถไปทั่วกรุงเทพฯเพื่อหาร้านที่ช่างตัดขนมีใจนักสู้ พร้อมจะลุยกับเจ้าหมากระหายเลือดตัวนี้ ร้านไหนใครว่าเจ๋ง ผมต้องพาชิโร่ไปท้าพิสูจน์ทุกที่ไป



มีอยู่ร้านนึง เจ้าของร้านมีดีกรีแชมป์ตัดขนประเทศ ผมไปส่งชิโร่ตั้งแต่เช้า เจ้าของร้านต้อนรับด้วยความยินดีที่ได้ตัดขนหมาดัง ตอนนั้นชิโร่เริ่มมีชื่อเสียงในเวปพันทิป เพราะผมเอารูปมันไปโพสต์แล้วมีแฟนคลับติดตามอยู่บ้าง หลังจากผ่านไป 8 ชั่วโมง ผมแอบดีใจว่า งวดนี้ไม่ยักโดนส่งคืนสงสัยเจอของจริงเข้าแล้วเจ้าโร่เอ๋ย

เมื่อผมไปรับหมาตอนเย็น คุณกระเทยเจ้าของร้านยืนหน้าตูมคอยอยู่แล้ว

"ตัวแค่นี้แต่ดุมากนะยะ เนี่ยตัดยากม๊ากกกกก เดี๊ยนเลยต้องออกแบบทรงให้ใหม่เลย" เจ้าของร้านยื่นหมาชิโร่คืนให้ด้วยมือที่มีพลาสเตอร์พันแผลสดพันอยู่

"ผมต้องขอโทษด้วยครับ พี่ไม่เจ็บมากใช่ไหมคร้าบ" ผมไหว้ขอโทษปะหลกๆพร้อมนำตัวชิโร่ในทรงแคนดี้จอมแก่นกลับบ้านอย่างรวดเร็ว
..............

ร้านตัดขนอีกร้านนึง ใจเย็นเหลือหลาย

"หมาดุ เราต้องนิ่ง เค้างับ เราหยุด เค้าพร้อม เราตัดต่อ" ช่างตัดขนสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นดุจแม่ชีศันสนีย์

ปรากฏว่า วันนั้นชิโร่ไม่ได้กลับบ้าน ต้องนอนที่ร้าน เพราะผ่านไปหนึ่งวันช่างเพิ่งจะตัดขนได้สำเร็จแค่ส่วนหัว
และใช้เวลาตัดส่วนอื่นๆอีกสองวัน กว่าผมจะได้รับหมาชิโร่ในสภาพขนเว้าๆแหว่งๆกลับบ้าน ส๊าาา..ธุ

ร้านบางร้านก็เหมือนละคอนน้ำเน่าช่อง7 ที่ลูกนางเอกโดนสลับตัวกับตัวร้าย ตอนไปรับหมาผมแทบกริ๊ดเพราะหมาชิโร่กลายเป็นหมาหนังกลับโดนไถขนแบบสกินเฮด แต่เหลือหัวไว้ที่ช่างไม่กล้าตัดกลัวโดนงาบ ดูเผินๆเหมือนดอกกระถิน เมื่อถามไถ่ไล่เรียงดูก็พบว่า ใบสั่งตัดขนของชิโร่ไปสลับกับหมาอีกตัวที่เป็นโรคผิวหนังและโดนคำสั่งกร้อนขนทั้งตัว เฮ้อ..

หลังจากตระเวนตัดขนไปทั่ว ผมก็ได้ข้อสรุปทรงขนที่เหมาะสมกับหมาชิโร่ นั่นคือ ตัดขนลำตัวให้สั้นพอประมาณ ตัดหูเป็นทรงบ๊อบสั้น และกร้อนขนเท้าแบบพูเดิ้ล เพื่อมิให้เลอะเวลายกขาฉี่
ช่างที่ออกแบบทรงขนให้บอกว่านี่เรียกว่าทรง "Puppy Thai Town"
ซึ่งทรงนี้กลายเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา ถึงขนาดมีการปริ๊นท์รูปชิโร่จากในเวป ไปเป็นตัวอย่างในร้านเชียวนะครับ

ใครที่เลี้ยงหมาชิสุ ถ้าขี้เกียจดูแลขนแบบผม จะเอาทรง 'ปั้บปี้ไถเท้า' ของชิโร่ไปลองตัดดูก็ได้นา


......................................................................



ชื่อเสียงการเป็นหมาจอมโหด ชอบงับมือมนุษย์ของชิโร่เลื่องลือไปทั่ว ที่โดนบ่อยๆจะเป็น ยาม แม่บ้าน คนกวาดถนน แม่ค้า เด็กส่งพิซซ่า โดยเฉพาะคนที่แต่งตัวรุ่มร่ามจะโดนบ่อยกว่าคนอื่น อันที่จริงผมว่าหมาทุกตัวมักมีสัญชาติญาณไม่ไว้ใจคนที่ไม่คุ้นเคยอยู่แล้วแหละ แต่สำหรับชิโร่ ไม่ว่าจะคุ้นหรือไม่คุ้น มันงาบหมด ยิ่งถ้ามาร้องกริ๊ดกร๊าดจะลูบหัวจะอุ้มมันยิ่งแง่งใส่ ผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อของชิโร่มีมากมาย ตั้งแต่ ดารา นางแบบ เออี หมอฟัน เซเล็บทุกสาขาอาชีพ ต่างก็โดนไอ้หมาแสบงาบกันทั่วหน้า

ครั้งหนึ่งมันเคยงับจมูกจีจี้ น้องผู้หญิงหน้าตาดี(มาก) ระหว่างไปเที่ยวเกาะมันนอกกับทริปบริษัทที่ผมทำงานอยู่ เล่นเอาทริปเกือบล่ม โชคดีที่เลือดหยุดไหลซะก่อน

น้องอีกคนโดนชิโร่กัดเท้า ตอนแรกนึกว่าแผลนิดหน่อย ชิวชิว สองวันต่อมาต้องแอดมิดโรงพยาบาล เพราะดันไปกัดโดนเส้นเลือดดำ ทำให้แผลอักเสบ T_T

เวลาที่ชิโร่จะกัดใครนั้นดูไม่ยากเพราะหนวดมันจะฟูขึ้นมาก่อน บางคนเห็นแบบนี้นึกว่ามันยิ้มให้ซะอีก แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยกับมันย่อมรู้ว่านี่คือสัญญาณอันตราย หากไม่หยุดพฤติกรรมยั่วโมโหชิโร่จะงาบอวัยวะชิ้นใดชิ้นหนึ่งของท่านในไม่ช้า

เหตุที่มีคนตกเป็นเหยื่อชิโร่เยอะก็เพราะความที่มันหน้าตาน่ารักตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยนี่แหละครับ ใครเห็นก็ต้องเอ็นดูอยากจะอุ้มมันทุกรายไป

คำโบราณที่ว่า "เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด" ใช้กับชิโร่ได้เป็นอย่างดี







................................................................................

การที่ชิโร่กลายเป็นหมาดุเช่นนี้ ผมคิดว่าคงเพราะความที่มันเหงา ต้องอยู่ตัวเดียวในคอนโดก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสผมจะพามันออกไปเที่ยวในทุกที่ที่พอจะพาหมาไปได้ มันชอบเที่ยวมาก ชิโร่เคยไปเชียงใหม่ ปาย เพชรบูรณ์ โคราช กาญจนบุรี ระยอง พัทยา หัวหิน ทุกที่ที่อนุญาตให้หมาพัก แต่เท่าที่สังเกตดูมันจะชอบเที่ยวภูเขามากกว่าทะเล

ทุกครั้งที่ขึ้นรถ ชิโร่จะตื่นตาตื่นใจมาก มันจะยืนเกาะกระจกชมวิวอย่างไม่รู้เบื่อ แต่ถ้ารถติดไฟแดงมันจะคอยเห่าสิงห์มอเตอร์ไซค์ข้างๆแทน และไม่รู้เป็นอะไรมอไซค์ทุกคันจะต้องทำหน้าลิงหลอกเจ้าใส่ชิโร่ ซึ่งนั่นทำให้มันโมโหขึ้นไปอีก ผลคือ คนในรถก็ขี้หูเต้นระบำกันไป

ที่โปรดของชิโร่คือการยืนเกาะหน้าคอนโซล มันชอบช่วยเหลือกดปุ่มต่างๆที่ผมไม่เคยร้องขอ อารมณ์นักบินผู้ช่วยประมาณนั้น เช่น บีบแตรใส่รถคันข้างหน้าแบบนอนสต๊อปจนเขาจะลงมาต่อยเอา นอกจากนี้ชิโร่ยังชอบปรับช่องแอร์ให้เป่าลมใส่พุงมันคนเดียว ชอบปิดเปิดวิทยุเล่นแถมด้วยเปลี่ยนสลับคลื่นAM FM ไปมา กดเปิดที่ปัดน้ำฝนในตอนแดดเปรี้ยง กดไฟเลี้ยวตอนวิ่งตรงผ่านสี่แยก กดไฟติ๊กต่อกทั้งที่ไม่มีอะไรemergency (นอกจากตัวมันนั่นแหละ) ฯลฯ ถ้าเป็นเครื่องบินจริงๆนี่รับรองว่าโหม่งโลกแน่นอน ที่สำคัญชิโร่ยังกดปุ่มเลื่อนกระจกหน้าต่างลงเองได้ด้วย ถึงผมจะกดสู้ให้กระจกเลื่อนขึ้น มันจะกดลงพร้อมกับหันมาทำหน้าเยาะเย้ยผม แล้วยื่นหน้าออกไปรับลมเย็นๆให้เป็นที่หวาดเสียวคนขับแต่เป็นที่กริ๊ดกร๊าดของบรรดาสาวๆที่รอรถเมล์ข้างถนนเป็นยิ่งนัก

..........................................................

ที่เล่ามาทั้งหมด ดูเหมือนชิโร่จะมีแต่ความน่ากลัว แต่จริงๆแล้ว ในความน่ากลัวของมันมีความน่ารักแฝงอยู่ไม่น้อย

อย่างแรกคือ มันจะแสดงความดีใจเวลาผมกลับบ้านอย่างออกนอกหน้า ด้วยการพุ่งทะยานออกมาเลียหน้าเลียปากด้วยหน้าตาที่บ่งบอกว่า คิดถึ๊งคิดถึง ราวกับพลัดพรากจากกันไปซักสิบปี ทั้งที่จริงไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง ช่วงควอลิตี้ไทม์นี้จะกินเวลาราวหนึ่งนาที หลังจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน ชิโร่จะกลับไปนั่งหมอบประจำการในบีนแบ็กของมันเหมือนเดิม

ความน่ารักอีกอย่างของชิโร่ คือ มันสามารถแสดงโชว์ได้(บ้าง) แม้จะไม่ถึงขั้นหมาประกวด แต่ก็ตลกดี พอขำขำ เช่นท่าเบสิกอย่าง สวัสดี หมอบ หรือจะแอดวานซ์ขึ้นไปอีกขั้นคือ กลิ้งตัวขอขนมได้ แกล้งตายได้ กระโดดไกลด้วยท่ากระรอกบิน ซึ่งไม่ใช่แต่ผม ใครก็ตามที่มีขนมอยู่ในมือจะให้ชิโร่ทำอะไรทำได้ทุกอย่าง

แต่ถ้าจะสั่งชิโร่ด้วยมือเปล่านั้น ขอบอกว่ายาก อย่างมากมันจะมานั่งอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะสั่งให้ นั่งลง! หมอบ! กลิ้งตัว! จะได้รับการตอบสนองด้วยสายตาเฉยชาไม่ดุกดิก แต่ถ้ามันหิวอยากกินขนมเมื่อไรชิโร่มันจะมานั่งจ้องหน้าทำตาละห้อย ทำหน้าตาน่าสงสาร ยกมือสวัสดีเองโดยไม่ต้องขอ หรือล้มลงไปกองกะพื้นแกล้งตายโดยไม่ต้องสั่ง ไม่มีใครทนลีลาออดอ้อนของมันได้นาน ซึ่งมันจะกลับไปด้วยขนมเต็มปากทุกครั้ง นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชิโร่ตัวอ้วนตุบ หนักเกินพิกัดหมาชิสุ กลายเป็นชิสุยักษ์ ด้วยเหตุนี้



สำหรับหน้าที่ประจำของชิโร่ คืองานเฝ้าบ้านนั้น ชิโร่ทำได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง กล่าวคือ มันเห่าใส่ทุกครั้งที่มีเสียงกรอกแกรกอยู่แถวประตู แค่ยามเดินมาตรวจตึกประจำวันมันก็เห่าแล้ว แม่บ้านถูพื้นนอกห้องมันก็เห่า คนเดินผ่านห้องมันก็เห่า ทุกครั้งมันโดนผมดุมันจะจ๋อยแต่ไม่เคยจำ สรุปได้ว่าชิโร่หูดีแต่ความจำสั้น

แม้ชิโร่ดุแต่ก็ขี้ขลาดสุดๆ ครั้งหนึ่งมีแมลงสาบบินเข้ามาในห้อง มามี๊ชิโร่ร้องกริ๊ดๆ ผมก็วิ่งพล่านหายาฉีด ปรากฏว่า ชิโร่มุดหลบไปอยู่ใต้โซฟาก่อนใคร เฮ้อ ถ้าโจรบุกเข้ามาจริงๆจะไปกัดสู้เขาไหวไม๊เนี่ย

ด้วยความน่ารักน่าเอ็นดูของชิโร่ ทำให้รูปของมันถูกส่งต่อๆกันกลายเป็นฟอร์เวิดเมล หลายต่อหลายครั้ง ใครที่ชอบรับ e-mail บ่อยๆ น่าจะเคยเห็นรูปชิโร่บ้างละ Fwd.mailที่ฮิตๆบางทีได้ลงหนังสือพิมพ์ก็มี ความอุบาทว์เหล่านี้ล้วนเกิดจากฝีมือผมทั้งนั้น ด้วยความแค้นที่โดนชิโร่ทำร้ายทั้งร่างกาย จิตใจ และสิ่งของ ผมซึ่งไม่มีทางออก จะตีก็สงสารเลยแกล้งซะด้วยวิธีที่ผมถนัด หุหุ

ฉากเลียนมในสุริโยไท
...............................

ากวันแรกที่ได้ชิโร่มา จนถึงปัจจุบัน ตอนนี้ชิโร่อายุได้ 8 ขวบแล้ว เปรียบเป็นคนก็เกือบจะ 60 ปี แต่มันก็ดูแข็งแรงสมบูรณ์มาก การเลี้ยงหมาในคอนโดสูงๆก็มีข้อดีอย่างนึงคือ สภาพแวดล้อมสะอาด นอนเตียงไม่ได้สัมผัสดิน ไม่มียุง ทำให้โรคภัยไข้เจ็บไม่รบกวน ชิโร่ไปโรงพยาบาลน้อยมาก ที่เจ็บหนักๆมีหนเดียวคือ ตาเป็นแผลเนื่องจากไปเล่นกะหมาตัวอื่นแล้วโดนข่วน แต่ก็รักษาจนหายสนิท

ชิโร่แต่งงานแล้ว 3 ครั้ง มีเมีย 3 ตัว กิ๊กอีก 2 ลูก 2 ครอก รวม 9 ตัว ทุกตัวได้มรดกความแสบไปจากพ่อทั้งสิ้น ทุกครั้งที่ชิโร่มีลูกก็ยกให้ฝ่ายเจ้าสาวเขาไปหมด แม้ผมจะอยากเอามาเลี้ยงเพิ่มแต่ก็ไม่ได้เนื่องจากต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคอนโด




แม้วันเวลาจะผ่านไป แต่ความรัก ความผูกพันที่เรามีให้แก่กัน ระหว่างผม คุณมามี๊ และชิโร่ ไม่เคยลดน้อยลงเลย ทุกครั้งที่เหนื่อยๆ กลับมาบ้านเห็นหน้าเจ้าหมาแสบก็ให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ถึงบางครั้งมันจะทำของพังเสียหาย กัดแขนกัดขาผมจนพรุน อย่างมากผมก็โกรธมันแป๊บเดียว พอเห็นดวงตาที่เขาจ้องเรา มันเป็นแววตาของความรักที่ไม่มีการเรียกร้องอะไรตอบแทน (นอกจากขนม) เป็นแววตาที่ทุกคนที่เลี้ยงหมาเท่านั้นเข้าใจ

และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของชิโร่ ชิสุยักษ์ หมาอ้วนยอดแสบ หมาคอนโด แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร ชิโร่จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมตลอดไป


...................................
ปล. ผมขอสารภาพว่า จริงๆแล้วภรรยาผมไม่ได้เป็นเนื้องอกหรอกครับ เราสองคนเพิ่งได้ลูกชายคนแรก(ที่เป็นคนจริงๆ) เพิ่งคลอดได้ 2 เดือน ตอนนี้ชิโร่ได้น้องชายแล้ว ยังไม่รู้ว่าชีวิตครอบครัวของเราจะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหน ชิโร่จะรักน้องหรือเปล่า จะอิจฉาน้องไม๊ เป็นสิ่งที่ครอบครัวเราต้องเผชิญต่อไป แต่ผมเชื่อว่า ความรักจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้

เมื่อเรารักกันซะอย่าง อะไรๆมันก็ดีไปหมดละครับ

No comments:

Post a Comment